วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พีซี 2011 บู๊ตเครื่องเสร็จในไม่กี่วินาที

และแล้วก็ได้เวลายกเครื่องเทคโนโลยีที่โบราณที่สุดในคอมพิวเตอร์นั่นก็คือ BIOS (เฟิร์มแวร์ หรือชุดคำสั่งในชิปที่ทำหน้าที่เริ่มต้นการทำงานของคอมพิวเตอร์) โดยรายงานข่าวล่าสุดอ้างว่า คอมพิวเตอร์ในปีหน้าจะได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า UEFI (Unified Extensible Firmware Interface) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของ Intel เช่นเดียวกับพอร์ต USB และ PCI Bus

BIOS (Basic Input Output System) เกิดมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่ด DOS และ Microsoft เพิ่งจะเริ่มเข้าสู่ตลาด โดย BIOS จะเป็นส่วนที่เริ่มต้นเตรียมความพร้อมให้กับการทำงานของฮาร์ดแวร์ คอมพิวเตอร์ก่อนที่ระบบปฎิบัติการจะเข้ามารับช่วงต่อในระดับการทำงานที่สูง ขึ้น โดย BIOS จะเป็นชุดคำสั่งที่อยู่ในชิปบนเมนบอร์ดของ PC-Compatible โดยตลอดระยะเวลา 25 ปีมันได้รับการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการทำงานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่สำหรับผู้มาใหม่อย่าง UEFI ตามรายงานของสำนักข่าว BBC อ้างว่า มันจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถบู๊ตเครื่องด้วยการกดปุ่ม Power ไม่ใช่รีสตาร์ทให้ระบบพร้อมทำงานได้ภายในไม่กี่วินาที แม้มันจะไม่เหมือนทีวีที่เปิดปุ๊บติดปั๊บ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่อุตสาหกรรม และผู้ใช้คาดหวังแล้ว ก่อนหน้านี้มีบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์บางรายได้เริ่ม ย้ายการพัฒนาฮารืดแวร์ไปใช้ UEFI ตั้งแต่ปี 2009 ปัญหาของ BIOS ในปัจจุบันก็คือ แกนการทำงานของมันยังคงยึดติดเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์รุ่นก่อนๆ โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์บางอย่างที่เลิกใช้ไปแล้วเช่น พอร์ต PS/2 เป็นต้น

สำหรับ ระบบปฏิบัติการ Windows 7 จะสนับสนุน UEFI อยู่แล้ว แถมยังสามารถเพิ่มคุณสมบัติใหม่เข้าไปอย่างเช่น"แอนตี้ไวรัส"ได้อีกด้วย การ ที่ Intel ผลักดัน UEFI เป็นมาตรฐานบนพีซี นอกจากจะต้องการให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ที่ดีขึ้นแล้ว คงจะมองไปถึงการเพิ่มความสามารถของแอนตี้ไวรัสจาก McAfee ที่ทางบริษัทเพิ่งซื้อมาอย่างแน่นอน

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412363

ญี่ปุ่นทำถุงมือใช้กับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัส

ขอรายงานข่าวแก็ดเจ็ต (Gadget) จากแดนปลาดิบกันบ้างดีกว่า บริษัทในญี่ปุ่นได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อว่า Touch Gloves ถุงมือสำหรับผู้ที่ต้องการใช้อุปกรณ์หน้าจอสัมผัสอย่าง iPad หรือ iPhone ในยามหน้าหนาว เรียกได้ว่า สามารถใช้ถุงมือที่สวมไว้ให้ความอบอุ่นสัมผัสใช้งานหน้าจออุปกรณ์พวกนี้ได้ อย่างสบาย ตอบโจทย์สองอย่างในเวลาเดียวกัน

ตาม รายงานข่าวอ้างว่า Touch Gloves ออกแบบมาเพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นพนักงานขาย เพื่อว่า เวลาที่พนักงานเหล่านี้ต้องใช้ iPhone นอกสถานที่ในฤดูหนาว ซึ่งคงไม่ดีนักหากต้องถอดถุงมือออกเวลาใช้งาน เพราะมือของพวกเขาต้องทนกับความหนาวเหน็บ โดยคุณสมบัติการทำงานพื้นฐานของหน้าจอสัมผัสจะใช้เทคโนโลยี Capacitive ที่ตรวจจับกระแสไฟฟ้าจากนิ้วสัมผัสของผู้ใช้ ซึ่งถุงมือ Touch Gloves จะใช้เส้นใยพิเศษถักที่บริเวณปลายนิ้วของถุงมือ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานหน้าจอสัมผัสได้แม้ในยามใส่ถุงมือ สนนราคาที่จะจำหน่ายในท้องตลาดอยู่ที่ 1,500 เยน หรือประมาณ 550 บาท

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412366

ตะลึง!! ไดรฟ์ฟลอปปี้รุ่นคุณปู่"หนี"น้ำได้

เริ่มต้นเช้าวันจันทร์ขออนุญาตนำเสนอข่าวเบาๆ กันก่อนนะครับ คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าถ้วยกาแฟหกไปที่ไดรฟ์ฟลอปปี้ 5-1/4 นิ้วรุ่นพกพาสมัยคุณปู่ของ Apple คำตอบง่ายๆ ก็คือ เปียกแฉะ เลอะเทอะ และที่แย่ยิ่งกว่าเกิดการลัดวงจรการทำงานภายในจนถึงขั้นทำให้ไดรฟ์เสียหาย ได้

ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ของศิลปิน และนักประดิษฐ์สติเฟื่องชื่อว่า Chambers Judd ซึ่งเขาไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้ โดยเขาจินตนาการต่อไปว่า ที่ไดรฟ์ฟลอปปี้ต้องโดนน้ำจากเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว นั่นเป็นเพราะมันไม่รู้จักหลบ หรือป้องกันตัวเอง ว่าแล้ว Judd ได้ตัดสินใจดัดแปลงให้ไดรฟ์ฟลอปปี้ของเขาไม่ต้องเผชิญชะตากรรมที่ว่านี้ด้วย การติดตั้ง"ขา"ที่ให้มันลุกขึ้นยืน"หนี"น้ำ หรือกาแฟที่หกใส่ได้โดยอัตโนมัตินั่นเอง เฮ่อ..คิดไปได้นะคนเรา คุณผู้อ่านที่สนใจไอเดียแบบนี้สามารถเข้าไปชมเพิ่มเติมในเว็บไซต์ chambersjudd ได้เลยครับ

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412367

หนอน Facebook หลอกผู้ใช้ให้คลิก Like

รายงานข่าวล่าสุด หากคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Facebook ควรระวังหนอนอันตรายที่ฝังมากับลิงค์ที่ระบุว่า "Shocking!!! This Gile Killed Herself After Her Dad Posted This Photo" โดยหลังจากที่เหยื่อคลิกลิงค์นี้ ก็จะถูกพาไปยังอีกหน้าเว็บหนึ่ง ซึ่งหนอนจะหลอกให้ผู้ใช้คลิก Like เพื่อเริ่มแพร่ข้อความ และลิงค์ดังกล่าวผ่าน Wall ของผู้ใช้บน Facebook ไปยังเพื่อนๆ อย่างรวดเร็ว

ประเด็นคือ หากผู้ใช้ไม่คลิกลิงค์อันตรายข้างต้น การแพร่สะพัดของหนอนก็จะไม่เกิดขึ้น แต่เนื่องจาก"ข้อความ"ที่ส่งมา อาจจะทำให้ผู้รับเกิดความสนใจ อยากรู้ว่าเหตุผลกลใด เด็กผู้หญิงคนนี้ถึงฆ่าตัวตาย เอาเป็นว่า อย่าหลงเชื่อคลิกก็แล้วกัน ล่าสุดทาง Facebook ได้เตือนให้ผู้ใช้อย่าคลิกลิงค์นี้

สำหรับ การแพร่กระจายของหนอนตัวใหม่จะเป็นการใช้ช่องโหว่ JavaScript ที่พบใน Facebook ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการอาศัยช่องโหว่ดังกล่าวในการแพร่กระจาย และมันคงจะไม่ใช้ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน ยังไงชาว Facebook ที่รับทราบแล้ว ฝากเตือนเพื่อนๆ ให้ระวังตัวกันหน่อยนะครับ

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412368

Toshiba ผุดทีวี 3D ไม่ง้อแว่นปลายปีนี้!!!

รายงานข่าวล่าสุด โตชิบา (Toshiba) ประกาศว่า ทางบริษัทได้ัพัฒนาทีวี 3D เครื่องแรกของโลกที่สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องสวมแว่นตา โดยเหมาะสำหรับรับชมในห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก เพื่อให้ได้อรรถรสของ 3D ทีสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ Toshiba Glasses-less 3D REGZA GL1 Series จะวางตลาดในญ๊่ปุ่นช่วงปลายปี 2010 นี้แล้ว โดยจะมีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกันคือ 12 นิ้ว (12GL1) และ 20 นิ้ว (20GL1)

ความ ลับของเทคโนโลยีทีวี 3D แบบไม่ต้องสวมแว่นตาของโตชิบาก็คือ การติดตั้งแผ่นเลนส์พิเศษที่เรียกว่า Lenticular (เลนส์ที่ประกอบขึ้นจากเลนส์ขนาดเล็กมากมาย) ทับชึ้นไปหน้าจอ LCD (แบ็คไลท์เป็น LED) โดยผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้ผู้ชมสามารถมองเห็นภาพในมุมมองที่แตกต่างกันพร้อม กันถึง 9 ภาพ ซึ่งจะมองเห็นได้เมื่อผู้ชมนั่งอยู่ในโซนของการรับชมเท่านั้น ทาง Toshiba แนะนำว่า ควรนั่งห่างจากจอประมาณ 65 ซม. สำหรับรุ่น 12 นิ้ว และ 90 ซม.สำหรับรุ่น 20 นิ้ว

อย่าง ไรก็ตาม ทีวี 3D ทั้งสองรุ่นจะยังไม่สนับสนุนการรับชมภาพยนต์แบบ Full HD เนื่องจากมันสนับสนุนความละเอียดสูงสุดที่ 1,280 x 720 สำหรับรุ่น 20GL1 และ 466x350 สำหรับรุ่น 12GL1 ในส่วนของราคาทีวี 3D ทั้งสองรุ่น ทาง Toshiba ยังไม่ได้เปิดเผยออกมาแต่อย่างใด คงต้องติดตามกันอีกทีว่า จอเล็กขนาดนี้ราคาจะใหญ่ขนาดไหน

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412369

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟรี!!! นาฬิกา UI มือถือ HTC สวยๆ บนเดสก์ทอป Windows

ก่อนบ่ายคลายเครียดกันเล็กน้อย ด้วยแก็ดเจ็ต (Gadget) แจกฟรี (หรือจะให้ค่าเหนื่อยกับนักพัฒนาเขาก็ได้ :D) ที่จะทำให้เดสก์ทอป
Windows Vista หรือ Windows 7 ของคุณ มีนาฬิกาแสนสวยที่เหมือนอินเตอร์เฟซของมือถือ HTC พร้อมรายงานสภาพภูมิอากาศด้วยไอคอนที่สวยงาม

สาวก มือถือ HTC ที่ชื่นชอบอินเตอร์เฟซ Home ที่มีนาฬิกาเรือนใหญ่คอยบอกเวลา และสภาพภูมิอากาศด้วยไอคอนที่สวยงาม หากคุณต้องการให้อินเตอร์เฟซของนาฬิกาดังกล่าวมาโลดแล่นบนเดสก์ทอป Windows ดูบ้าง ก็ง่ายนิดเดียวครับ เพียงแค่ดาวน์โหลดฟรีแวร์ที่มีชื่อว่า HTCHome

หลัง จากดาวน์โหลดไฟล์ (.zip) จากทางเว็บไซต์มาเรียบร้อยแล้ว ให้คุณสร้างโฟลเดอร์ขึ้นมาใหม่ (ตัวอย่างเช่น HTCHome) ทำการ Unzip โฟลเดอร์ และไฟล์ต่างๆ ทั้งหมดเข้าไปในโฟลเดอร์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ จากนั้นเปิดโฟลเดอร์ขึ้นมา มองหาไฟล์ชื่อ HTCHome.exe (ชนิดของไฟล์จะระบุ Application) ดับเบิ้ลคลิ้กบนไอคอนโปรแกรม เพียงแค่อึดใจ UI นาฬิกาแสนสวยของ HTC ก็จะปรากฎขึ้นบนเดสก์ทอป พร้อมทั้งไอคอนโปรแกรม HTCHome จะ ไปนอนรอให้คุณ Settings การทำงานใน System Tray บริเวณด้านขวาสุดของ Taskbar แล้ว จากนั้นคลิกขวาบนไอคอนของ HTCHome (รูปบ้านหลังเล็ก) เลือกคำสั่ง Settings

ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการทำงานของ HTCHome ได้ มากมาย โดยในแท็บ General คุณสามารถกำหนดให้ HTCHome เปลี่ยน Wallpaper ให้โดยอัตโนมัติได้ด้วยการเลือกเช็คบ๊อกซ์หน้าหัวข้อ Enable wallpaper changing แล้วกำหนดโฟลเดอร์ที่เก็บภาพสวยๆ ไว้ในช่อง Wallpaper folders: ส่วนแท็บ Location จะใช้สำหรับเลือกเมืองที่พักให้พิมพ์ในช่องเสิร์ช Bangkok เพื่อเลือกตั้งค่าใหม่แทนดีฟอลต์ที่เป็น New York เพียงแค่นี้ HTCHome ก็จะแสดงนาฬิกาแสนสวนพร้อมรายงานสภาพภูมิอากาศให้ทราบ แถมยังพยากรณ์ล่วงหน้าไปอีก 5 วันด้วย ก่อนจบย้ำอีกครั้งนะครับว่า HTCHome จะทำงานกับ Windows Vista และ Windows 7 โดยในระบบจะต้องติดตั้ง Microsoft .NET Framework 3.5 (SP1) ขึ้นไปแล้วด้วย

ที่มา:http://www.arip.co.th/tips.php?id=412274

คีย์ลัดในการใช้คีย์บอร์ด ประหยัดเวลาทำงานบนคอมพิวเตอร์

ปุ่ม SHIFT

SHIFT + F10 = แสดง Shortcut เมนูสำหรับ Item

SHIFT+DELETE = ลบ Item ที่เลือกโดยไม่ต้องเข้า Recycle Bin

SHIFT+ TAB =เลื่อนเมนูที่เลือกผ่านมา

SHIFT เมื่อใส่ ซีดีรอม ใน ซีดีรอม ไดร์ฟ เพื่อไม่ให้ซีดี ออโต้รัน

SHIFT กับปุ่มลูกศรทิศทาง เพื่อเลือก Item หลาย ๆ อันในหน้าต่างบน เดสทอป หรือเลือก text ในเอกสาร

ปุ่ม ALT

ALT + F4 = ปิดโปรแกรมที่เปิดอยู่

ALT + TAB = สลับระหว่าง Item ที่เปิดอยู่

ALT + ESC = เลื่อนไปตาม Item ตามลำดับของการใช้งาน

ALT + ตัวอักษรที่ถูกขีดเส้นใต้บนเมนูบาร์ (เปิดเมนูนั้นใช้งาน)

ปุ่ม Windows

Windows Logo = เปิดสตาร์ทเมนู

Windows Logo + D = โชว์หน้าเดสทอป

Windows Logo + M = ลดขนาดหน้าต่างที่เปิดไว้ทั้งหมด

Windows Logo + SHIFT + M = เปิดหน้าต่างที่ลดขนาดไว้ขึ้นมา

Windows Logo + E = เปิดมาย คอมพิวเตอร์

Windows Logo + F = ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์

Windows Logo + F1 =เปิดระบบช่วยเหลือของ Windows

Windows Logo + R = เปิดเมนู Run

เพิ่มเติม

Ctrl A >>>>> เลือกทั้งหมด

Ctrl C >>>>>> คัดลอก

Ctrl V >>>>>> วาง

Ctrl S >>>>>> บันทึกข้อมูล

Ctrl F >>>>>> ค้นหา

Ctrl Z >>>>>> ยกเลิกการกระทำก่อนหน้านี้(Undo)

Ctrl X >>>> ตัด(Cut)

Ctrl Q >>>> ออกจากโปรแกรม

Alt Shift (left) >>>> สลับภาษา

Shift end >>>>> เลือกตั้งแต่ที่ cursor อยู่จนถึงท้ายของบรรทัด

Shift home >>>> เลือกตั้งแต่ที่ cursor อยู่จนถึงต้นของบรรทัด

ที่มา : www.eduzones.com

ปกป้อง และสำรองข้อมูล USB Drive ของคุณให้ปลอดภัยอยู่เสมอ

ปลายเดือนสิงหาคมมีรายงานข่าวจากบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส PandaLabs บอกว่า 25% ของมัลแวร์เล็งโจมตี USB Drive หรือไดรฟ์พกพา (รวมถึงไดรฟ์ทีติดตั้งใช้งานภายนอก) ที่เชื่อว่า คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip น่าจะมีกันทุกคน ด้วยความห่วงใย ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ขออนุญาตแนะนำซอฟต์แวร์ยูทิลิตี้เพื่องานนี้โดยเฉพาะให้กับทุกท่าน ที่สำคัญมัน"ดาวน์โหลด"ได้ฟรีอีกด้วย

USB Security Utilities แอพพลิเคชัน พกพาที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ทำหน้าที่ป้องกัน และกำจัดมัลแวร์ที่ติดเข้าไปในไดรฟ์ USB ของคุณ อีกทั้งยังช่วยจัดการไฟล์ต่างๆ ตลอดจนทำแบ็คอัพสำรองข้อมูลในไดรฟ์ยูเอสบีของคุณได้อีกด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ USB Security จะมาพร้อมกับฟังก์ชันสแกนไวรัส สำรองไฟล์ ค้นหาไฟล์ต้องสงสัย และระบบภูมิคุ้มกันมัลแวร์ ขนาดไฟล์แค่ 2MB เก่งจริงๆ เลยนะตัวแค่นี้

แม้ ยูทิลิตี้ตัวนี้จะมีขนาดเล็ก แต่มันสามารถช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลในไดรฟ์ยูเอสบี การ์ดหน่วยความจำ ไปจนถึงฮาร์ดดิสก์พกพาที่กำลังได้รับความนิยม โดยการทำงานทุกฟังก์ชันจะรวมอยู่ในหน้าต่างเดียวเท่านั้น ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นขนาดความจุ พื้นที่ที่ใช้ไปแล้ว และระบบไฟล์ (เปลี่ยนชื่อ (label) ของไดรฟ์ได้อีกด้วย) นอกจากนี้ยังสามารถเสิร์ชหามัลแวร์ได้ 3 วิธีด้วยกันได้แก่ ตรวจสอบด้วยเทคนิคพื้นฐานโดยใช้ virus signatures เทคนิคการตรวจจับที่เรียกว่า Generic และ New Technology ซึ่งใช้การเฝ้าสังเกตคุณสมบัติต่างๆ ของไฟล์ทีรันได้ (executable file) พร้อมกันนี้ยังมีโฟลเดอร์คุ้มกันสำหรับมัลแวร์ทั่วไปอย่างเช่น RECYCLER, MsoCache และ ice รวมถึง Autorun.inf ช่วยป้องกันการโจมตีได้ (คล้ายๆ กับ Panda Vaccine) แถมยังสามารถแจ้งความเสี่ยงสำหรับไฟล์ต้องสงสัยที่มันพบในไดรฟ์ยูเอสบีของ คุณได้อีกต่างหาก

ไม่ เพียงแต่จะปกป้องดูแลความปลอดภัยให้กับไดรฟ์ยูเอสบีเท่านั้น แต่มันยังมีฟังก์ชันสำรองไฟล์ต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถเรียกคืนข้อมูลทั้งหมดกลับมาได้อีกด้วย ตัวโปรแกรมติดตั้งทำได้ง่ายมาก โดยมันจะแตกไฟล์เข้าไปในโฟลเดอร์ที่สร้างขึ้นบนไดรฟ์ยูเอสบี จากนั้นสั่งรันโปรแกรม ซึ่งขั้นแรกให้คลิกที่แท็บ Configuration เพื่อเปลี่ยนภาษาจาก Spain ไปเป็น English (ยกเว้นคุณเชี่ยวภาษาสเปน) อ้อ...USB Security สามารถทำงานร่วมกับโอเอสรุ่นใหม่อย่าง Windows 7 ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สนใจดาวน์โหลดคลิกที่นี่

ที่มา:http://www.arip.co.th/tips.php?id=412220

LiveView ของเล่นใหม่มือถือ Android

หลังจาก Sony Ericesson ประกาศหย่าขาดจาก Symbian เดินหน้าพัฒนาสมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Android เต็มสูบ ล่าสุดทางบริษัทได้เดินเครื่องแล้ว โดยเปิดตัวแก็ดเจ็ต (Gadget) ชิ้นใหม่ที่มีชื่อว่า LiveView ทีมีลักษณะเป็นจอ OLED 1.3 นิ้ว (คล้าย iPod Nano 6G) เชื่อมต่อไร้สายกับ Bluetooth และจับคู่การทำงานร่วมกับอุปกรณ์ Android เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ อย่างเช่น ดูเบอร์โทรที่ไม่ได้รับสาย (missed call) ข้อความต่างๆ เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือแม้แต่เล่นเพลง

LiveView จะ วางตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่การเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับราคาของมันแต่อย่างไร? ประเด็นทีเป็นคำถามคือ LiveView หน้าจอจิ๋วไร้สายบลูทูธที่ซิงค์กับมือถือ Android ตัวนี้ (มีอุปกรณ์เสริมเป็นสายรัดข้อมือ เพื่อใส่แทนนาฬิกาได้) ออกมาสู่ท้องตลาด เพื่อชนกับใคร? คำตอบก็อยู่ที่ DNA (อุ๊ปส์!!!) ของแพคเกจเครื่องอยู่แล้ว หน้าตาออกจะเหมือนกับ iPod Nano 6G ซะขนาดนั้น แต่ไม่ใช่แฟนแทนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นโดยคุณสมบัติของ LiveView จึงเป็นแก็ดเจ็ตบลูทูธสำหรับมือถือแอนดรอยด์มากกว่าการเป็นเครื่องเล่นมี เดียขนาดจิ๋ว

นอกจากนี้ แอพพลิเคชันต่างๆ จะต้องมีการเขียนให้สนับสนุนกรทำงานร่วมกับ LiveView ด้วย โดย Sony Ericsson มีแผนที่จะออกแอพพลิเคชันทีสามารถสแกนหาแอพฯใน Android Market และแสดงให้ผู้ใช้ทราบว่า แอพฯตัวใดบ้งที่เข้ากันได้กับของเล่นใหมชิ้นนี้ สำหรับคุณผู้อ่านทีสนใจ LiveView ชาร์จผ่านทางพอร์ต USB โดยสามารถอยู่ได้ 4 วัน แม้จะดูคล้าย iPod Nano 6G แต่มันหนากว่าเล็กน้อย (LiveView หนา 11 มม., iPod Nano 8.8 มม.) ลองชมคลิปสาธิตการใช้งานข้างล่างประกอบการตัดสินใจนะครับ เผื่อสาวก Android อยากมีแก็ดเจ็ตแนวๆ อย่าง iPod Nano 6G บ้าง

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412328

หุ่นยนต์"ลองเสื้อ"แทนลูกค้าออนไลน์

ผู้บริโภคส่วนใหญ่รู้สึกว่า การสั่งซื้อเสื้อบนเว็บไซต์ค่อนข้างเสี่ยงต่อความไม่พอดีกับรูปร่างของตนเอง โดยเฉพาะเสื้อเชิร์ตสำหรับผู้ชาย ซึ่งมีขนาดและรูปทรงให้เลือกหลายสไตล์แบรนด์ แต่ปัญหานี้จะหมดไป เมื่อทางร้านมีบริการหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างเหมือนคุณเป๊ะข่วยลองสวมเสื้อ เชิร์ตที่คุณเลือกแทนคุณ...ทำได้ไง?

แล้วก็สั่งซื้อเสื้อผ้าจากเว็บไซต์ก็จะไม่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนคนตาบอดอีกต่อไป เมื่อเว็บไซต์ Fits.me ใน เอสโตเนียได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถปรับรูปร่างให้เหมือนกับลูกค้า เพื่อลองสวมใส่เสื้อผ้าแทนคุณได้ Heikki Haldre เจ้าของไอเดียหุ่นยนต์ลองเสื้อตัวนี้กล่าวว่า หุ่นยนต์ลองเสื้อของเขาสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างที่มีทรวทรงองค์เอวที่แตก ต่างกันได้ถึง 2,000 แบบ ไม่ว่าจะอ้วน หรือผอม โดยลูกค้าสามารถดูได้ด้วยว่า เสื้อตัวเล็ก หรือกลางที่ใส่กับหุ่น (ที่ปรับไซส์ให้เท่ากับรูปร่างของลูกค้าแล้ว) แล้วพอดิบพอดี ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งซื้อเสื้อตัวนั้นออกไป

ขณะ นี้ทางเว็บไซต์กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ลองเสื้อสำหรับลุกค้าที่เป็นสุภาพสตรี โดยคาดว่าจะพัฒนาเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ อย่างไรก็ดี ทางบริษัทได้เปิดเผยตัวอย่างกรณีศึกษาของลูกค้าเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าออ นไลน์ชาวเยอรมันที่ให้บริการลองเสื้อด้วยหุ่นยนต์ตัวนี้ ปรากฎว่า ยอดขายของทางร้านเติบโต 300% ในขณะที่ลดการส่งสินค้าคืนได้สูงถึง 28% เลยทีเดียว สำหรับคลิปข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างคลิปแสดงการลองสวมใส่เสื้อเชิร์ตด้วยการ ปรับรูปร่างของหุ่นยนต์ตามรูปร่างของลุกค้า

ทีมา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412327

BlackBerry PlayBook ท้าชน iPad

และแล้ว Research in Motion (RIM) บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ฮอตสุดๆ อย่าง BlackBerry ก็ได้ประกาศเปิดตัวแท็บเล็ตของทางบริษัทเมื่อวานนี้ โดย "PlayBook" จะเป็นแท็บเล็ตหน้าจอขนาด 7 นิ้ว ทำงานด้วยระบบสัมผัลแบบมัลติทัช โดยเป้าหมายคือการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจาก iPad ของ Apple

PlayBook เป็นแท็บเล็ตที่เน้นลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ โดยจะทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BlackBerry Tablet OS (QNX ที่ทางบริษัทเพิ่งซื้อเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา) สำหรับหน้าจอขนาด 7 นิ้วจะแสดงผลที่ความละเอียด 1024 x 600 พิกเซล ภายในใช้โพรเซสเซอร์ดูอัลคอร์ Cortex A9 1GHz หน่วยความจำ 1GB กล้องสองตัว โดยด้านหน้า 3M และด้านหลัง 5M และสนับสนุนฟอร์แมตมาตรฐานการพัฒนาเว็บด้วย HTML5 แถมยังมาพร้อมกับ Adobe Flash Player 10.1 อีกด้วย

อย่าง ไรก็ดี PlayBook จะไม่มีการเชื่อมต่อข้อมูลด้วย 3G หรือ 4G โดย RIM ให้เหตุผลว่า ทางบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มคุณสมบัติดังกล่าวในอนาคต สำหรับ PlayBook เวอร์ชันแรก ผู้ใช้จะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ผ่าน Wi-Fi 802.11 b/g/n หรือแชร์เน็ต (3G) จากสมาร์ทโฟน BlackBerry และรองรับการเชื่อมต่อไร้สายกับอุปกรณ์ Bluetooth 2.1 "RIM ต้องการพัฒนาให้แทบเล็ตของบริษัททำงานได้ในระดับสุดยอด โดยออกแบบให้ฮาร์ดแวร์มีคุณสมบัติการทำงานหลากหลาย และระบบปฏิบัติการที่มีความยืดหยุ่น และแข็งแรงที่สุด" Mike Lazardis ประธาน และซีอีโอร่วมของ RIM "BlackBerrry PlayBook มีคุณสมบัติของแท็บเล็ตระดับแนวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบมัลติทาสกิ้งจริงๆ การท่องเว็บ และมัลติมีเดียที่สมบูรณ์แบบ"

BlackBerry PlayBook จะพกพาค่อนข้างสะดวก โดยมีความหนา 9.7 มม. และหนักแค่ 0.9 ปอนด์ (ประมาณ 408 กรัม) เท่านั้น มาพร้อมกับพอร์ต HDMI และ USB สามารถเล่นวิดีโอฟูลไฮเดฟฯ 1080p ได้ โดย RIM ยังกล่าวถึงแผนการที่จะวางตลาด BlackBerry PlayBook ในร้านค้าต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ ภายในต้นปี 2011 ส่วนประเทศอื่นๆ จะเป็นไตรมาสที่สองของปีหหน้า อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยราคาของ PlayBook แต่อย่างใด

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412315

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

Seabird เมื่อ Mozilla อยากทำ"มือถือ"

สมมติว่า หากบริษัทผู้พัฒนาบราวเซอร์ยอดนิยมอันดับสองของโลกอย่าง Firefox เกิดอยากจะหันมาเอาดีทางด้านสมาร์ทโฟนดูบ้าง ในแนวคิดของพวกเขามือถือควรจะมีดีไซน์เป็นอย่างไร? และมันควรทำอะไรได้บ้าง? ซึ่ง Mozilla Labs ได้นำเสนอคอนเซปต์สมาร์ทโฟนชื่อว่า Seabird ที่รับรองว่า คุณผู้อ่านเห็นแล้วต้องอยากได้อย่างแน่นอน!!!

Seabird คอนเซปต์สมาร์ทโฟนที่ทาง Mozilla Labs ได้ลองดีไซน์ตัวเครื่อง และคุณสมบัติตลอดจนความสามารถในการทำงานด้านต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ว่ากันตั้งแต่สเป็กพื้นฐานอย่างหน้าจอสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ กล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ตามด้วย"โปรเจ็กเตอร์จิ๋ว" 2 ตัว ที่มีความสว่าง 45 ลูเมนส์ และความละเอียด 960x600 พิกเซล อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่าทำไมต้องมี pico projector ถึง 2 ตัว เพราะเดี๋ยวจะเฉลยให้ฟังอีกที Seabird ใช้เทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) พอร์ต mini-USB โดยทีด้านหลังจะมีหูฟังไร้สายที่สามารถถอดออกจากตัวเครื่องได้

คราวนี้มาดูกันว่า Mozilla Seabird ทำอะไรได้บ้าง? ประการแรกเลยก็คือ มันใช้งานแบบมือถือทั่วไปได้ ส่วน หูฟังบลูทูธจะทำงานได้ 2 อย่างคือ ใช้เป็นหูฟัง หรือใช้แทนเมาส์ไร้สาย 3 มิติ โดยสามารถใช้นิ้วสัมผัสด้านหลังแทนการคลิกเมาส์ได้ด่วย ส่วนโปรเจ็กเตอร์ที่ต้องมี 2 ตัว เพราะเมื่อคุณนำ Seabird ไปวางบนแท่นโดยหันด้านข้าง Projector ด้านหนึ่งจะฉายภาพหน้าจอ และอีกด้านหนึงจะฉายลงพื้นเป็นคีย์บอร์ดแสงพร้อมทัชแพด สำหรับการท่องเน็ตบน หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น เล่าให้ฟังอย่างนี้คงอยากเห็นความสามารถของมันกันแล้ว แนะนำให้ดูคลิปข้างล่างนี้ดีกว่าครับ รับรองไม่ผิดหวังสาวกบราวเซอร์จิ้งจอกอัคคีอย่างแน่นอน



ที่มา : http://www.arip.co.th/news.php?id=412296

Galaxy Tab จอ 10 นิ้วโผล่กลางปี 2011

รายงานข่าวล่าสุด Gary Twohig ผู้จัดการ Samsung Mobile ในสหราชอณาจักรได้กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ SiliconRepublic ว่า Samsung Galaxy Tab แท็บเล็ตรุ่นใหม่จะออกวางตลาดภายในไม่เกินครึ่งปีแรกของปี 2011 โดยจะมีคุณสมบัติที่ผู้ใช้จะสามารถเห็นความแตกต่างจากรู่นแรกได้อย่างชัดเจน

โดยผู้บริหารของ Samsung กล่าวว่า Galaxy Tab รุ่นใหม่ที่จะออกมาเป็นรุ่นที่สองจะมีขนาดของหน้าจอใหญ่กว่าเดิม โดยจะใช้หน้าจอขนาด 10 นิ้ว อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่มันยังคงไม่ใช้หน้าจอแสดงผลที่เป็น AMOLED แต่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สามารถเล่นวิดีโอ HD ได้ นอกจากนี้ Galaxy Tab จอ 10 นิ้วจะยังคงทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android เหมือนเดิม

Twohig ยังกล่าวอีกด้วยว่า สำหรับ Galaxy Tab เวอร์ชันแรกทีมีหน้าจอ 7 นิ้วจะเริ่มวางตลาดใน UK ช่วงปลายเดือนตุบาคม โดยจะร่วมกับพัฒนามิตรที่เป็นคอนเท็นต์อย่างเช่น การติดตั้งแอพฯ Sky News และเกมส์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานทั้งภาพ และเสียงเข้าไปในแท็บเล็ตที่วางจำหน่ายเลย ทั้งนี้ทางบริษัทคาดว่า ยอดจำหน่ายของ Galaxy Tabs ทั่วโลกจะสามารถผ่านหลัก 10 ล้านเครื่องได้ในไตรมาสที่สามของปี 2011 ในขณะที่ Apple อ้างว่า สิ้นเดือนกันยายนนี iPad จะมียอดขาย 5.7 ล้านเครื่อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านเครื่องภายในปีหน้า!!!

ที่มา : http://www.arip.co.th/news.php?id=412308

Windows Phone 7 ปะทะ iPhone

และแล้วก็ได้เวลาเปรียบมวยสำหรับอินเตอร์เฟซพื้นฐาน และฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ระหว่างระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนที่หลายคนรอคอย นั่นก็คือ Apple กับ Microsoft ลองมาดูสิว่า โอเอสของใครมีดีที่อะไร? และน่าใช้กว่ากันตรงไหน? ที่สำคัญ Windows Phone 7 จะทำให้คุณผู้อ่านที่ยังคงลังเลอยู่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หรือไม่? ต้องไปติดตามกันครับ

สำหรับดีไซน์อินเตอร์เฟซของ iPhone จะเป็นแบบ App-Centric หรือศูนย์กลางการใช้งานมุ่งเน้นที่การเรียกใช้แอพพลิเคชันเป็นหลัก ดังนั้น หน้าโฮม (Home Screen) จึงประกอบไปด้วยไอคอนชอร์ทคัตของแอพลิเคชันต่างๆ รวมถึงเกมส์ และเว็บไซต์ ในขณะที่ Windows Phone 7 จะออกแบบด้วยคอนเซปต์ Task-Centric ผู้ใช้จะสามารถปักหมุด (pin) ได้ท้้งแอพฯ และเกมส์บนหน้าโฮม แถมยังสามารถทำชอร์ทคัตให้กับคอนแท็ค แผนที่ เว็บไซต์ และฮับ (Hubs) โดยฮับจะเป็นที่รวบรวมงานต่างๆ ที่ถูกใช้โดยแอพฯหลายๆ ตัว (แทนการเปิดแอพฯหลายตัวๆ แบบ iPhone) ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้ Windows Phone 7 สามารถใช้ hub ในการเชื่อมโยงข้อมูลคอนแท็คในมือถือกับ Facebook, Twitter, Xbox Live และ Social Network ต่างๆ

คลิปข้างล่างนี้เป็นผลงานจาก PocketNow ที่พยายามแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่แตกต่างกันระหว่าง iPhone และ Windows Phone 7 นอกจากเปรียบเทียบอินเตอร์เฟซแล้ว มันยังแสดงให้เห็นว่า การทำงานแบบมัลติทาสกกิ้งบนโอเอสแต่ละตัว และส่วนควบคุมการเล่นเพลง ลองดู แล้วกันว่า คุณชอบแบบไหนมากกว่ากัน คำตอบอยู่ในคลิปนี้แล้ว


ที่มา : http://www.arip.co.th/news.php?id=412305

หุ่นยนต์จิ๋วลากรถจากโตเกียวถึงเกียวโต

ญี่ปุ่นมักจะนำเสนอรูปแบบการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ที่แสดงออกถึงความ"อึด"ให้เห็นกันอยู่เสมอ แม้กระทั่งแบตเตอรี่ของ Panasonic ยังใช้ตัวแมสคอตอย่าง Evolta (ชื่อรุ่นของแบตเตอรี่) หุ่นยนต์จิ๋วสูงแค่ 7 นิ้วทำงานด้วยแบตเตอรี AA 2 ก้อนของทางบริษัทกับภารกิจที่เหลือเชื่อว่า เจ้าหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ นี้จะทำได้ โดยเมื่อสองปีก่อน Evolta ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันสามารถไต่หน้าผา Grand Canyon ที่มีระดับความสูง 1,700 ฟุต และเมื่อต้นปีก็เพิ่งจะปั่นจักรยานรอบสนามกีฬา และแล้วก็ถึงเวลาท้าความอึดกับภารกิจใหม่

Panansonic ท้าพิสูจน์ความอึดของแบตเตอรี่ Evolta อีกครั้งด้วยการออกแบบแมสคอต Evolta เพื่อพิชิตภารกิจใหม่ โดย Tomotaka Takahashi ผู้ก่อตั้ง Robo-Garage ในมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งการท้าทายครั้งล่าสุดก็คือ เจ้าหุ่นยนต์ Evolta จะต้องเดินลากรถที่ใช้วงล้อแบบที่ใช้ในกรง Hamster พร้อมที่นั่งผู้โดยสาร เพื่อออกเดินทางจากมหานครโตเกียวไปยังเกียวโต ซึ่งคิดเป็นระยะทางทั้งสิ้น 300 ไมล์ (ประมาณ 500 กิโลเมตร)

หุ่น ยนต์ที่ดีไซน์ออกมาล่าสุดยังคงมีความสูง 7 นิ้ว (ประมาณ 17 ซม.) เหมือนเดิม และน้ำหนักของตัวหุ่นยนต์ประมาณ 2.2 ปอนด์ (1 กิโลกรัมพอดิบพอดี) ในการพิชิตภารกิจครั้งนี้ หุุ่นยนต์จะถูกควบคุมให้ทำงานด้วยรีโมท โดยความเร็วสูงสุดทีทำได้คือ 3 ไมล์ต่อชั่วโมง (5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) สำหรับแบตเตอรี่ทีใช้กับหุ่นยนต์จะเป็นแบบชนิดชาร์จ 12 ก้อน โดยจะชาร์จวันละครั้ง ในส่วนของตารางการเดินทางจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา และจะถึงเกียวโตในวันที 10 ธันวาคม (รวม 49 วันเดินทาง) นับเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สำหรับการเดินทาง 500 กิโลเมตรของหุ่นยนต์ตัวจิ๋วกับความอึดของแบตเตอรี่ 12 ก้อน ได้แต่หวังว่า กว่าจะถึงวันนั้น มันจะไม่ถูกสุนัขคาบไป หรือโดนรถยนต์บนท้องถนนทับเสียก่อนนะ :D

ข้อมูลจาก: http://www.arip.co.th/news.php?id=412307

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

เพิ่มสีสันให้ตัวอักษรในไฟล์ของคุณด้วย Text effects ใน Word 2010

ใน Word 2010 ในมีการปรับปรุงคุณสมบัติในการปรับแต่งตัวอักษรเสียใหม่ จากเดิมที่ใช้ได้แค่ Word Art ซึ่งตัวอักษรที่ได้ก็จะเป็นลักษณะคล้ายๆ ไฟล์ภาพที่มาอยู่ในเอกสารเสียมากกว่านั้น มาปรับแต่งให้เป็นตัวเล่นที่ตัวอักษรจริงๆ ดีกว่าไหม

ตัวอย่างไฟล์ที่ได้จากการใช้ Word Art ใน Word 2007

ตัวอย่างภาพของการใช้ Text effects ใน Word 2010

คง จะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ใช้ว่า อย่างไรก็ตามใน Word 2010 ก็ยังจะมี Word Art อยู่เหมือนเดิม สำหรับการเรียกใช้ง่ายๆ ก็คือ ไปที่ Menu Ribbon แล้วคลิ๊กที่ Text effects เท่านี้คุณก็สามารถทำให้เอกสารของคุณดูดีกว่าคนอื่นๆ ได้ง่ายแล้ว

ที่มา:http://www.arip.co.th/tips.php?id=412181

Google New อยากรู้มีอะไรใหม่คลิกที่นี่

หลายคนทราบดีกว่า Google มีบล็อกเกินกว่า 100 บล็อกเอาไว้ประกาศเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ข่าวทั่วไปของบริษัทจนถึงประเด็นเฉพาะสำหรับเว็บมาสเตอร์เท่านั้น โดยบล็อกเหล่านี้ยังขยันผลิตคอนเท็นต์ที่หลากหลายตามภารกิจของมัน ซั่งเป็นการยากเหลือเกินที่ผู้ใช้จะสามารถติดตามข่าวสารตลอดจนความเคลื่อน ไหวของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งหมดของ Google และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมทางบริษัทถึงได้ตัดสินใจสร้างบริการออนไลน์ที่เป็นศูนย์กลางชื่อว่า Google New ขึ้นมา

ก่อนอื่นอย่าเพิ่งสับสนระหว่าง Google New กับ Google News ที่เป็นบริการรวบรวมข่าวสารจากเว็บไซต์ข่าว และบล็อกต่างๆ ทั่วโลกที่เพิ่งจะมีอายุครบ 8 ปีวันนี้ (และกำลังเป็นอุปสรรคของ Apple ในการให้บริการสมาชิกหนังสือพิมพ์บน iPad ) ซึ่งความจริง Google New คือหน้าเว็บ landing page ที่ให้คุณสามารถทราบข่าวสารล่าสุดจากทุกบล็อกของ Google โดยหน้าหลักของจะแสดงกรอบของภาพหน้าจอบางส่วนที่อัพเดตล่าสุดจากบล็อกของ Google อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บริการสามารถปรับเปลี่ยนลำดับของภาพหน้าจอขนาดเล็กของบล็อกเหล่านั้น ได้ตามความสนใจ ส่วนด้านบนของบล็อก Google New จะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับไฮไลท์บริการที่ Google ต้องการเน้นย้ำ และมีคุณค่ากับผู้ใช้มาก อย่างเช่น บริการใหม่ที่ชื่อว่า Google Instant เป็นต้น ต่อไปหากอยากทราบว่า ตอนนี้ Google มีข่าว หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจเป็นอะไร? ก็สามารถเข้ามาที่นี่ที่เดียวได้คำตอบครบเลย




ที่มา: http://www.arip.co.th/news.php?id=412280

คีย์บอร์ดไร้สาย"พับได้"สำหรับ iPhone

อุปกรณ์โมบายอย่างเช่น iPhone, iPod Touch และ iPad ตลอดจนสมาร์ทโฟนสายพันธุ์ Android ส่วนใหญ่ก็จะมีแอพฯสำหรับจัดการเอกสารออฟฟิศ แต่มันคงไม่สะดวกรวดเร็วนักหากจะใช้นิ้วสัมผัสแทนคีย์บอร์ดในการแก้ไข แถมยังอาจเกิดข้อผิดพลาดมากกว่าอีกด้วย ล่าสุด Cervantes Mobile ได้เสนอตัวช่วยให้กับคุณด้วยคีย์บอร์ดไร้สายบลูทูธที่สามารถพับได้ทำให้พกพา สะดวก สนับสนุนทั้ง iOS และ Android วางตลาดต้นปี 2011 (จองตอนนี้ได้ราคาพิเศษ 79 เหรียญฯ จากราคาเดิม 99 เหรียญฯ ถึง 31 ตุลาคม ศกนี้)

Jorno Bluetooth keyboard คีย์บอร์ดไร้สายที่สะดวกพกพา เนื่องจากสามารถพับให้มันมีขนาดเหลือแค่ 1 ใน 3 แถมยังมาพร้อมกับแท่น(สามารถถอดได้)สำหรับตั้งอุปกรณ์โมบายของคุณ ไม่ว่า จะเป็น iPhone, iPod Touh, iPad หรือสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ต Android โดยสามารถตั้งวางอุปกรณ์ต่างๆ ในแนวนอน หรือแนวตั้งก็ได้ ด้วยดีไซน์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่แท้จริง เมื่อคุณกางคีย์บอร์ดออกมา มันจะมีความแข็งแรงมากพอที่คุณจะวางบนตัก เพื่อพิมพ์งานได้แบบเดียวกับโน้ตบุ๊ค...ว้าว!!!

Jorno Bluetooth keyboard จะ เข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์โมบายที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น iOS, Android, Windows Mobile 6/6.5, RIM BlackBerry และ Symbian ดังนั้นคุณสามารถใช้มันกับสมาร์ทโฟนไปจนถึงพีซีที่รัน Windows สำหรับใครที่กำลังต้องการคีย์บอร์ดกับอุปกรณ์โมบาย Jorno น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในขณะนี้


ที่มา: http://www.arip.co.th/news.php?id=412271

ยอดดาวน์โหลด IE9 ทะลุ 2 ล้านแล้ว!!!

ไมโครซอฟท์ (Microsoft) มั่นใจว่า Internet Explorer 9 หรือ IE9 จะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดบราวเซอร์คืนกลับมาจากคู่แข่งได้ หลังจากที่สถิติดาวน์โหลดซอฟต์แวร์บราวเซอร์ดังกล่าวทะลุ 2 ล้านภายใน 2 วันแรก (IE8 ได้แค่ 1.3 ล้านใน 5 วันแรก) นอกจากนี้ยังมีสถิติการเข้าชมเว็บไซต์ที่เปิดให้ทดสอบสมรรถนะการทำงานของบ ราวเซอร์ที่น่าทึ่งมากๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ทางบริษํทได้เปิดเผยว่า เว็บไซต์ "Beauty of the Web" ที่จัดทำขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทดลองประสิทธิภาพการทำงานของ IE9 โดยเฉพาะการสนับสนุน HTML5 และความเร็วในการแสดงผลจากการใช้ฮาร์ดแวร์เร่งกราฟิก มียอดผู้เข้าชมทั้งสิ้น 9 ล้านครั้ง และมีจำนวนเพจวิวสูงถึง 26 ล้านครั้งนับตั้งแต่ IE9 Beta เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา (ส่วนเว็บไซต์ IE Test Drive ที่เปิดให้นักพัฒนาก่อนหน้านี้ มียอดเข้าชม 4 ล้านเพจวิวในช่วงเวลาเดียวกัน) นั่นแสดงให้เห็นถึงกระแสการตอบรับที่เกินคาดของ IE9
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังสร้างความประหลาดใจให้กับบริษัทด้วยเหมือนกัน เนื่องจาก IE9 Beta จะสามารถรันได้บน Windows Vista และ Windows 7 แต่ไม่ใช่ XP ซึ่งหมายความว่า ยอดการเติบโตของผู้ใช้จากนี้ไปอาจจะถูกจำกัดด้วยฐานผู้ใช้ก็ได้ เนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคมที่่ผ่านมา ไมโครซอฟท์ประมาณการผู้ใช้ 74% ในธุรกิจยังคงใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP ดังนั้นหากผู้ใช้ XP ต้องการสัมผัสประสบการณ์ IE9 ทางเลือกเดียวที่จะทำได้คือ "อัพเกรด" เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่จะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมาจากคู่แข่งหลายๆ ราย อาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร อย่างไรก็ดี มีรางานข่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานของ IE9 Beta เทียบกับ Firefox 4 รุ่นทดสอบล่าสุด ปรากฎว่า IE9 เร็วกว่า Firefox 4 อุ๊ปส์!!

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412264

แกะกล่อง HP Slate แท็บเล็ต Win7?

หลังจากที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ arip ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับคลิปต้นแบบ HP Slate บน YouTube ที่โพสต์โดย x313xkillax ซึ่งได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่ได้ชมคลิปดังกล่าวมากมาย เพราะมันดูเหมือนของจริงมากๆ แต่แล้วทำไม HP ถึงปิดข่าวเรื่องนี้ ล่าสุดผู้โพสต์คลิปคนเดิมได้กลับมาอีกครั้งด้วยคลิปแกะกล่อง HP Slate พร้อมแท่นเชื่อมต่อ (docking) โดยมีความยาวถึง 8 นาที เพื่อตอกย้ำว่า มันเป็นของจริง หรือว่า"อำ"กันอีกรอบกันแน่?

อ้างอิงข้อมูลจากด้านหลังกล่องในคลิปวิดีโอระบุว่า HP Slate ใช้โพรเซสเซอร์เป็น Intel Atom Z540 ความเร็ว 1.86GHz ทำงานร่วมกับชิปกราฟิก GMA500 และชิปเร่งวิดีโอ Broadcom Crystal HD ขนาดหน้าจอ WSVGA 8.9 นิ้ว หน่วยความจำ 2GB สตอเรจ 60GB ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 7 Home Premium เชื่อมต่อไร้สาย 802.11b/g/n และ Bluetooth พร้อมช่องอ่านการ์ดหน่วยความจำ SD ส่วนแบตเตอรี่เป็นลิเธียมอิออน 2 เซล 30 วัตต์ชั่วโมง และที่ขาดไม่ได้คือ กล้อง 2 ตัวด้านหน้า และด้านหลัง

ใน คลิปสาธิตการใช้ MS Paint ทำให้เห็นว่า HP Slate สามารถตราวจจับการสัมผัสพร้อมกันได้ 4 นิ้ว บราวเซอร์ดูกระตุกเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนซูมด้วยนิ้ว แต่เขาก็ย้ำอีกครั้งว่า มันเป็นเครื่องต้นแบบ ซึ่งการทำงานจะดีกว่านี้เมื่อเสร็จเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ในขั้นตอนสุดท้าย ว่าแต่แล้วกล่องใส่ล่ะ (ต้นแบบ?) แถมยังมีด็อคกิ้งที่สามารถตั้ง HP Slate พร้อมด้วยพอร์ต USB อีก 2 พอร์ต และช่องต่อ HDMI ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการให้คอมเมนต์สำหรับคลิปนี้จากทาง HP แต่อย่างใด

ที่มา:http://www.arip.co.th/news.php?id=412299


หุ่นยนต์ iPod Nano 6g แดนซ์กระจาย!!!

ก่อนหน้านี้ทางเว็บไซต์ arip ได้เคยนำเสนอการปรับแต่ง iPad และ iPhone ให้กลายเป็นหุ่นยนต์เดินได้กัน ไปแล้ว ล่าสุดน้องนุชเกือบจะคนสุดท้องอย่าง ipod nano 6g (รุ่นล่าสุด) ก็ไม่วายถูกนำมาดัดแปลงให้กลายเป็นหุ่นยนต์จิ๋วทีสามารถลุกขึ้นโยกตัวตาม จังหวะกับอุปกรณ์รุ่นพี่ได้เหมือนกัน

Terasaki-san นักดัดแปลงที่ได้พัฒนาให้ iPad และ iPhone กลายเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถลุกขึ้นมาเดินได้ ซึ่งเขาใช้มอเตอร์เซอร์โวต่อเป็นขาสองข้าง โดยติดตั้งเข้าไปที่ด้านหลัง พร้อมทั้งพัฒนาแอพฯควบคุมการทำงานที่มีหน้าตาของอินเตอร์เฟซเป็นลูกตาน่ารัก ล่าสุดเขายังคงเดินหน้าดัดแปลงต่อไป โดยคราวนี้เป็น iPod Nano 6g ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดจนไม่น่าเชื่อว่า จะดัดแปลงให้เป็นหุ่นยนต์แบบรุ่นพี่ได้

แต่ เขาก็ได้พิสูจน์ความสามารถอีกครั้งด้วยการต่อเติมขาเข้าไปที่ด้านหลัง พร้อมทั้งพัฒนาอินเตอร์เฟซ (น่าจะเป็นภาพเฉยๆ) โดยแจ็คด้านบนจะต่อสายไปยังวงจรขับเคลื่อนขาที่อยู่ด้านหลัง เพื่อให้มันสามารถลุกขึ้นมาโยกตัวได้ตอนเปิดเพลง แม้มันจะแสดงท่าทางอะไรไม่ได้มากมายนัก แต่ด้วยขนาดเล็กกะทัดรัดจนไม่น่าจะดัดแปลงอะไรได้ ทำได้ขนาดนี้ก็โอเคแล้วล่ะครับ :D


ที่มา : http://www.arip.co.th/news.php?id=412301


ไขข้อข้องใจ Super Wi-Fi คืออะไร?

รายงาานข่าวล่าสุด FCC เพิ่งจะประกาศความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางเทคโนโลยีใหม่ทีมีชื่อว่า "Super Wi-Fi" ซึ่งเชื่อว่า น่าจะอยู่ในความสนใจของผู้ใช้หลายๆ ท่าน ว่าแล้วทางเว็บไซต์ arip จึงไม่พลาดที่จะรีบนำเรื่องราวนี้ที่ได้มีการสรุปโดยเว็บไซต์ Gizmodo มาขยายความให้ทราบโดยทั่วกัน ไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยีไร้สายรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพเหนือชั้นกันดี กว่าครับ

กล่าวโดยสรุป Super-Wi-Fi ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยี Wi-Fi อยุ่วันยังค่ำ โดยมันยังมีลักษณะของการส่งข้อมูลไร้สายที่ใช้กันตามบ้านเรือน ที่พักอาศัย ตลอดจนสำนักงาน หรือแม้แต่ในสตาร์บัค เพียงแต่มันจะเก่งกว่ามาก ไม่งั้นไม่มีคำว่า "Super" นำหน้าอย่างแน่นอน...แต่ประเด็นที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือ ช่วงความถี่ (หรือ Spectrum) ที่ใช้ โดยผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ปกติ Wi-Fi จะมีช่วงการรับส่งข้อมูลไร้สายอยุ่ที่ 2.4GHz หรือ 5GHz ซึ่งเมื่อ 25 ปีก่อนทาง FCC ได้เปิดช่วงความถี่ที่ไม่ได้มีการใช้นั่นคือ 50MHz และ 700MHz โดยช่วงความถี่นี้เองที่จะถูกนำมาใช้กับเทคโนโลยี Super Wi-Fi

ประเด็น ก็คือ ช่วงความถี่ดังกล่าวจะอยู่ในช่วงของช่องสัญญาณ TV (White Noise) แต่เมื่อทีวีเป็นดิจิตอลโดยสมบูรณ์ ช่วงความถี่เหล่านี้จะไม่ได้ถูกใช้แต่อย่างใด ซึ่งหากสามารถนำมาใช้กับ Super Wi-Fi คุณประโยชน์ที่โดดเด่นมากๆ ก็คือ ระยะทางของการส่งคลื่น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ รัศมีการครอบคลุมของสัญญาณที่กว้างกว่า Wi-Fi เป็นหลายกิโลเมตร!!! เนื่องจากความถี่ที่ต่ำกว่าทำให้มันเดินทางไปได้ไกลกว่านั่นเอง อีกทั้งยังมีอำนาจทะลุทะลุวงกำแพงได้อีกด้วย ซึ่งเราท์เตอร์ที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะยังมีปัญหาเรื่องนี้ นอกจากรัศมีทีกว้างไกลแล้ว Super Wi-Fi ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้ด้วยความเร็ว 15Mbps - 20Mbps หรือเท่าๆ กับเคเบิ้ลโมเด็ม

ปัจจุบัน Google ได้ทดลองใช้ Super Wi-Fi ในโรงพยาบาลที่ Ohio เป็นที่แรก ปรากฎว่า ความเร็วที่ใช้งานได้ตลอดทั่วทั้งโรงพยาบาลอยู่ในระดับ Super Broadband เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการทดลองใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวในการฟีดข้อมูลจราจร และจากกล้องรักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่การเข้าถึง Wi-Fi ที่บ้านที่อยู่ห่างไปหลายช่วงตืกได้อีกด้วย เทคโนโลยี Super Wi-Fi ยังคงต้องได้รับการแก้ไขปัญหา หรือผลกระทบต่างๆ ตลอดจนพิสูจน์ทราบการใช้งานจริงอีกพอสมควร โดยจะมีการทดลองให้เห็นการใช้งานใน CES 2011 และเราคงจะได้เห็นอุปกรณ์ทีใช้เทคโนโลยี Super Wi-Fi ในท้องตลาดอีกประมาณ 1 - 2 ปีข้างหน้า

ที่มา: http://www.arip.co.th/news.php?id=412302

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ไซแมนเทค เปิดตัว นอร์ตัน (Norton) 2010 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ปกป้องผู้ใช้คอมพิวเตอร์ให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมในโลกไซเบอร์…

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไซแมนเทค เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Norton 2010 ที่ประกอบด้วย Norton Internet Security 2010 และ Norton AntiVirus 2010 กับระบบรักษาความปลอดภัยรูปแบบใหม่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับมัลแวร์ (Malware) ใหม่ๆ และรองรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างง่ายดายกับเทคโนโลยีในตระกูล Norton Insight ที่ใช้ระบบข้อมูลข่าวกรองทางออนไลน์เพื่อปกป้องเครื่องคอมพิวเตอร์และแจ้ง ให้ผู้ใช้รับทราบถึงผลกระทบด้านความปลอดภัยในแต่ละวัน
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ Norton 2010 สนับสนุน Microsoft Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 โดยเวอร์ชั่นล่าสุดทั้งหมด (2009 2010) ของผลิตภัณฑ์ Norton รวมถึง Norton 360 Norton Internet Security และ Norton AntiVirus รองรับการใช้งานร่วมกับ Microsoft Windows 7 เมื่อมีการวางจำหน่ายระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่นี้ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Norton ดังกล่าวที่สมัครสมาชิกอย่างถูกต้องจะได้รับโปรแกรมอัพเดตสำหรับการใช้งาน ร่วมกับระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่โดยอัตโนมัติผ่านทางออนไลน์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

รายงานข่วแจ้งด้วยว่า ราคาขายปลีกของ Norton Internet Security 2010 อยู่ที่ 1,799 บาทสำหรับใบอนุญาตใช้งานบนพีซีสามเครื่อง และ 799 บาทสำหรับใบอนุญาตใช้งานบนพีซีหนึ่งเครื่อง ส่วนราคาขายปลีกของ Norton AntiVirus 2010 อยู่ที่ 1,399 บาทสำหรับใบอนุญาตใช้งานบนพีซีสามเครื่อง และ 599 บาทสำหรับใบอนุญาตใช้งานบนพีซีหนึ่งเครื่อง ราคาดังกล่าวครอบคลุมการสมัครสมาชิกบริการหนึ่งปีสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์และ รับอัพเดตการป้องกันเพิ่มเติมจากไซแมนเทค ผู้ใช้ Norton Internet Security และ Norton AntiVirus ทุกรายที่สมัครสมาชิกอย่างถูกต้องจะมีสิทธิ์ได้รับอัพเดตผลิตภัณฑ์ล่าสุด ผ่านทางรูปแบบบริการสมัครสมาชิก หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมศูนย์ Norton Update ที่ http://updatecenter.norton.com

เวอร์ชันทดลอง (Office 2010 beta) ไปใช้กันได้แล้ว

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุด เมื่อวานนี้ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ประกาศให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถดาวน์โหลด Office 2010 เวอร์ชันทดลอง (Office 2010 beta) ไปใช้กันได้แล้ว โดยทางบริษัทคาดว่า น่าจะมีผู้ใช้ที่สนใจดาวน์โหลดไปลองใช้อย่างน้อย 1 ล้านราย

"ในกรณีที่คุณใช้ Office 2003 อยู่แล้วเกิดอยากลองใช้ Office 2010 คุณอาจจะรู้สึกว่า เหมือนเริ่มหัดใช้ซอฟต์แวร์กันใหม่เลยทีเดียว เนื่องจากส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าคุ้นเคยกับ Office 2007 อยู่แล้ว คุณจะสามารถใช้ออฟฟิศรุ่นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว" Chris Capossela รองประธานอาวุโสแผนกธุรกิจของไมโครซอฟท์ กล่าว

เขา ยังกล่าวอีกด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่าง Office 2003 และ Office 2007 จะไม่ได้มีความแตกต่างของอินเตอร์เฟซมากนัก เมื่อขยับขึ้นมาใช้ Office 2010 แต่ผู้ใช้จะรู้สึกว่า มันใช้งานง่าย และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ลงตัวกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ Capossela ยังเชื่ออีกด้วยว่า ผู้ใช้จะต้องรู้สึกตื่นเต้นกับคุณสมบัติใหม่ๆ มากมายทีมาพร้อมกับออฟฟิศ 2010 อย่างเช่น

  • ฟังก์ชันใหม่สำหรับแก้ไขวิดีโอในสไลด์ของโปรแกรม PowerPoint
  • ฟังก์ชันร่วมแก้ไขเอกสารใน Word ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สองคนสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงไฟล์เอกสารได้พร้อมกัน
  • การ จัดการอีเมล์ใน Outlook และความสามารถในการผูกบัญชีผู้ใช้ Outlook เข้าไปในเว็บไซต์เครือข่ายสังคม (Social networks) ที่คุณชื่นชอบ

"นี่ ถือเป็นอีกหนึ่งหลักไมล์ของโปรแกรม Office ที่ใครก็สามารถใช้งาน และสนุกไปกับคุณสมบัติต่างๆ ของซอฟต์แวร์ได้อย่างครบครัน" Capossela กล่าว สำหรับกำหนดการวางตลาดของ Office 2010 จะอยู่ในช่วงประมาณกลางปี 2010 ดาวน์โหลด Office 2010 เวอร์ชันทดลอง

ที่มา: http://www.arip.co.th/news.php?id=410352

Kaspersky 2011

ในที่สุดโฉมใหม่ของ Kaspersky 2011 ก็ ออกเสียที กับโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ มาให้แฟน ๆ แอนติไวรัสค่ายนี้ได้ใช้กัน และเป็นที่แน่นอนว่า Product ใหม่ ๆ จะออกมาเป็นแพ็คคู่กันให้เลือกใช้ ซึ่งประกอบด้วย

  • Kaspersky Anti-Virus 2011 (KAV)
  • Kaspersky Internet Security 2011 (KIS)

โฉมหน้าของ Kaspersky Anti-Virus 2011

โฉมหน้าของKaspersky Internet Security 2011

สำหรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของเวอร์ชันนี้ ได้แก่

  • New Safe Surf feature for unparalleled online security
    ฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยคุณให้ปลอดภัยยิ่งกว่าเดิม Safe Surf เมื่อเริ่มใช้งานฟีเจอร์นี้ คุณจะสามารถวางใจได้เลยว่า ทุก ๆ หน้าเว็บที่เปิดขึ้นมา จะไม่มีเว็บอันตราย หรือเว็บที่ไม่พึงประสงค์อย่างแน่นอน โดยการทำงานนี้จะอาศัยฐานข้อมูลอัพเดทจาก Kaspersky นั่นเอง
  • System Watcher technology
    จ้องไม่กระพริบด้วย System Watcher ช่วยให้คุณสบายใจได้ว่าการทำงานของเครื่องคุณ ไมมีไวรัสมาแอบแฝงทำงานร่วมด้วยอย่างแน่นอนจากระบบตรวจสอบที่มีความแม่นยำ และทันทีที่มีการทำงานที่บ่งบอกได้ถึงความเสี่ยงใด ๆ โปรแกรมจะแจ้งเตือนให้ทราบ และจัดการทันที
  • Easy-Access Desktop gadget
    ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณจัดการ Kaspersky ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นกับ Gadget ที่ออกแบบมาเพื่อจัดการการทำงานของ Kaspersky ในคลิกเดียว

ทดลองใช้งานฟรี 30 วัน

คุณสามารถ ดาวน์โหลดตัวทดลองการใช้งาน 30 วัน หรือสั่งซื้อได้ที่ http://www.kaspersky.com/trials

การอัพเดทจาก 2010 เป็น 2011

สำหรับท่านที่ใช้เวอร์ชัน KAV และ KIS 2010 อยู่สามารถอัพเกรดเป็น 2011 ได้โดย หลังจากที่ดาวน์โหลดเสร็จแล้ว สามารถลงทับได้ โดยไม่จำเป็นต้อง uninstall ตัวเก่าออก

สามารถดาวน์โหลด ได้ที่ http://www.kaspersky.com/productupdates

Kaspersky anti-virus 2011


ที่มา: http://www.itday.in.th

ข่าวลือก่อนหน้านี้อ้างว่า Google เตรียมเปิดบริการใหม่ที่เรียกว่า ” Google Me ”

ข่าวลือก่อนหน้านี้อ้างว่า Google เตรียมเปิดบริการใหม่ที่เรียกว่า ” Google Me ” โดยเป้าหมายคือ โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ทางบริษัทพัฒนาออกมาต่อกรกับ Facebook ข่าวดังกล่าวได้ถูกนำมาหยิบยกพูดถึงกันอีกครั้ง เมื่ออีริค ชมิดท์ ซีอีโอของ Google ได้เปิดเผยข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับบริการใหม่ที่ว่านี้

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Eric Schmidt ซีอีโอ Google ได้ให้รายละเอิยดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการของบริษัท ซึ่งมีประเด็นหนึ่งที่ มีการนำมาขยายความกันต่อนั่นก็คือ แผนการเข้าสู่สมรภูมิโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยชมิดท์ได้ตอบคำถามที่ว่า โซเชียลเน็ตเวิร์กมีความสำคัญต่ออนาคตของ Google อย่างไร? และ Google จะต่อสู้กับคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่และแข็งแรง (Facebook) ได้อย่างไร?

Schmidt กล่าวว่า “เรามองโซเชียลเน็ตเวิร์กแตกต่างจากทุกคนที่กำลังเขียนถึงมัน สิ่งที Google ต้องการคือ การทำให้ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นโดยใช้ข้อมูล จากโซเชียลฯ สิ่งที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นถ้า Facebook เปิดเครือข่าย และให้เราเข้าไปใช้ข้อมูลนั้นได้ แต่ถึงแม้จะทำเช่นนั้นไม่ได้ เราก็มีวิธีอื่นๆ อีกมากมายที่จะทำให้ได้ข้อมูลเหล่านั้น เรากำลังพยายามเพิ่มองค์ประกอบของโซเชียลเน็ตเวิร์ก (เข้าไปในผลิตภัณฑ์หลัก) เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Google ดีขึ้น ด้วยการยินยอมจากผู้ใช้ โดยเฉพาะการที่เราสามารถรู้ได้ว่า ใครคือเพื่อนของคุณ เราจะสามารถแนะนำสิ่งที่ผู้ใช้แต่ละคนต้องการได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม รวมถึงคุณภาพการค้าหาที่ดีกว่าด้วย”

นอกจากคำกลาวของชมิดท์แล้ว แหล่งข่าวที่เคยทำงานกับ Google ได้พูดถึงบริการใหม่ว่า “Google Me ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ แต่มันเป็นเลเยอร์ของการทำงานแบบโซเชียลบนผลิตภัณฑ์ทั้งหมด (ฟังดูไม่ค่อยจะเห็นประโยชน์กับผู้ใช้สักเท่าไร)” นอกจากนี้แหล่งข่าวยังกล่าวว่า ” Google Me จะผลักดันให้เกิดกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ที่มาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ของ Google ทั้งหมด โดยมี Google Buzz ที่จะได้รับการปัดฝุ่นใหม่ให้ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง แต่ปัจจุบัน Google Buzz ยังไม่ได้ทำงานร่วมกับ Google Apps” แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Google จะเดินหมากนี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ทางบริษัทคงจะไม่ยอมให้ Facebook ครองข้อมูล และส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้ไปอย่างนี้นานๆ อย่างแน่นอน Google Me จะเป็นกาวประสานใจของผู้ใช้ทั่วโลกด้วย Google Apps และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมายที่ดีกว่า การใช้แอพฯ และแลกเปลียนความคิดเห็นกันใน Facebook หรือไม่? คงต้องติดตามกันต่อไป

ที่มา: http://www.itday.in.th

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

(Computer Assisted Instruction)

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
หมายถึง วิถีทางของการสอนรายบุคคลโดยอาศัยความสามารถของ
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะจัดหาประสบการณ์ที่มีความสัมพันธ์กันมีการ
แสดงเนื้อหาตามลำดับที่ต่างกันด้วยบทเรียนโปรแกรมที่เตรียมไว้อย่าง
เหมาะสม

ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1. บทเรียน (Tutorial)
เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรม
ที่เสนอเนื้อหาความรู้เป็นส่วนย่อย ๆเลียนแบบการสอนของครู

2. ฝึกทักษะและปฏิบัติ (Drill and Practice)
ส่วนใหญ่ใช้เสริมการสอน ลักษณะที่นิยมกันมากคือ การจับคู่ ถูก-ผิด
เลือกข้อถูกจากตัวเลือก

3. จำลองแบบ (Simulation)
นิยมใช้กับบทเรียนที่ไม่สามารถทำให้เห็นจริงได้

4. เกมทางการศึกษา (Educational Game)

5. การสาธิต (Demonstration)
นิยมใช้ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์

6. การทดสอบ (Testing)
เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน

7. การไต่ถาม (Inquiry)
ใช้เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด

8. การแก้ปัญหา (Problem Solving)
เน้นการให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ
9. แบบรวมวิธีต่าง ๆ เข้าด้วย (Combination)
ประยุกต์เอาวิธีสอนหลายแบบมารวมกันตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ


ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1.ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามเอกัตภาพ

2.ผู้เรียนมีโอกาสเรียนซ้ำได้หลายครั้งเท่าที่ต้องการ

3.ผู้เรียนมีโอกาสโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์และสามารถควบคุมการเรียนได้เอง

4.มีภาพ ภาพเคลื่อนไหว สี เสียง ทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่ายการเรียน

5.ตัวผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้

6.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามขั้นตอนจากง่ายไปยาก
หรือเลือกบทเรียนได้

7.ฝึกให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล

ลักษณะของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นการเรียนการสอนแบบรายบุคคล
ที่นำเอาหลักการของบทเรียนโปรแกรมและเครื่องช่วยสอน
มาผสมผสานกัน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล
ของผู้เรียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเป็นรายบุคคล

คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีลักษณะการเรียนที่เป็นขั้นเป็นตอน ดังนี้

1.ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน

2.ขั้นการเสนอเนื้อหา

3.ขั้นคำถามและคำตอบ

4.ขั้นการตรวจคำตอบ

5.ขั้นของการปิดบทเรียน


ลักษณะของการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ดี มีดังนี้

1. สร้างขึ้นตามจุดประสงค์ของการสอน

2. เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียน

3. มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนให้มากที่สุด

4. มีลักษณะเป็นการสอนรายบุคคล

5. คำนึงถึงความสนใจของผู้เรียน

6. สร้างความรู้สึกในทางบวกกับผู้เรียน

7. จัดทำบทเรียนให้สามารถแสดงผลย้อนกลับไปยังผู้เรียนให้มาก ๆ

8. เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนการสอน

9. มีวิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียนอย่างเหมาะสม

10.ใช้สมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงข้อจำกัด

บางอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่บนพื้นฐานของการออกแบบ
การสอนคล้ายกับการผลิตสื่อชนิดอื่น ๆควรมีการประเมินผลทุกแง่ทุกมุม

ที่มา: http://senarak.tripod.com/cai2.htm

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

Plasma ball



ลุกแก้วทรงกลมกลวง ภายในบรรจุก๊าซชนิดที่มีความดันต่ำ ด้านล่างมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแรงสุงหลายหมื่นโวลต์ จะมีการเคลื่อนย้ายถ่ายประจุไฟฟ้าระหว่างขั้วไฟฟ้าแรงสูงกับอากาสภายนอกดดยที่ประจุไฟฟ้าจะวิ่งชนก๊าวที่อยุ่ภายในลุกแก้ว เกิดการแตกตัวเป็นพลาสมาและเปล่าแสงสีต่าง ๆ ออกมาตามธรรมาชาติเพราะตัวของก๊าซนั้น ๆ โดยมีทิสทางไม่แน่นอนออกเป็นแบบสุ่ม



หุ้มลูกแก้วด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวทำหน้าที่รับจำนวนอิเล็กตรอนให้มากขึ้น จะให้ให้ได้กระแสไฟฟ้ามากขึ้น “ห้ามจับแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์โดยเด็ดขาด เพราะเป็นไฟแรงสูงที่มีกระแสมาก เป็นอันตรายอย่างยิ่ง” นำหลอดฟลูออเรสเซนส์มาวางใกล้ๆ หลอดฟลูออเรสเซนส์จะสว่างได้





































ที่มา: http://www.vcharkarn.com/vcafe/137585